เรียนต่อต่างประเทศ

ค้นหาคอร์สเรียนภาษาอังกฤษทั่วประเทศไทย

แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - นายฮาวทู

1

1. รบกวนแนะนำตัวคร่าวๆด้วยครับ

ผมชื่อ Ben นะครับ หรือเต็มๆ ก็ นับพล สุวรรณสมบัติ ตอนนี้ ก็ทำงาน รายงานข่าวแบบเขียนเป็นภาษาอังกฤษให้กับ รัฐบาลครับ เป็นครูสอนพูดภาษาอังกฤษด้วย แล้วก็เป็นผู้ประกาศข่าวทาง NBT World ภาคภาษาอังกฤษ ครับ ก่อนหน้านี้ เคยเป็นนักข่าวภาคสนามของสำนักข่าวญี่ปุ่น NHK World ภาคภาษาอังกฤษเหมือนกันครับ

2. ใช้เวลาไปนานเท่าไร ในการฝึกภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง จนภาษาอังกฤษคล่องขึ้นจนสามารถรายงานข่าวภาษาอังกฤษได้ครับ

ใช้เวลาฝึกอยู่นานทีเดียวเลยครับ แต่ผมฝึกแบบ สนุกสนานไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นการพูด หรือ การออกเสียง เริ่มหัดพูด ตั้งแต่ ม 4 ได้งานข่าวภาษาอังกฤษครั้งแรก ตอนจบมหาลัยเลย บวกลบคูณหาร ก็ราวๆ 7-8 ปี ครับ แต่เป็นการฝึกที่ไม่ได้มีใครมาสอน เลยอาจจะนานหน่อย ต้องอาศัย ดูทีวี ฝึกออกเสียง ตาม ฝึกพูดสำเนียงให้ได้ใกล้เคียงที่สุด แล้ว พยายาม หัดพูด บรรยายให้เป็น ทักษะการพูดบรรยายนี่สำคัญมากเลยครับ ผมอ่านหนังสือที่เป็นภาษาอังกฤษเยอะมากกกกกกกกก เปิดคำศัพท์ทุกตัว จากนั้น เอามาเขียนในไดอารี่ หรือ ลอกใส่สมุดออกมาครับ ทำ บ่อยมาก

3. ทำยังไงถึงจะพูดให้ได้สำเนียง โดยที่ไม่ได้ไปอยู่ที่ต่างประเทศบ้างครับ

ก็ดูทีวีแล้วพูดตามครับ ผมจะโหลด script หนังฝรั่งมาดู ตอนนั้นผมนึกไอเดียฝึก อ่านจาก script หนัง ตอนนั้น ประมาณปี 2543 (ปี 2002) กระวนกระวาย อยากพูดได้เหมือนตัวละครในหนัง ผมเลยลองหาจาก Yahoo พิมพ์คำว่า movie script เท่านั้นแหละครับ เจอเป็นร้อย จากนั้นเลือกเรื่องที่ชอบแล้วปริ้น ออกมาเลยครับ เอามาอ่านตาม ดูหนังซ้ำๆ ผมอ่านบทละครออกเสียงมันทุกคืน จนโดนที่บ้านด่า เลยครับ เพราะ เขารำคาญ HAHAHA จากนั้น ก็ซื้อโปรแกรมออกเสียของ พวก Cambridge ไม่ก็ Longman มาลงคอมครับ แล้วฟัง การออกเสียง  เวลาพูดเป็นคำ ๆ ผมพูดออกสำเนียงฝรั่งได้ครับ แต่พอพูดยาวๆ สำเนียงไทยมาเต็ม ถ้าจะให้สำเนียงมันอยู่กับตัว ต้องมีคนพูดด้วยครับ ผมก็พูดกับเพื่อน นี่แหละครับ ตอนนั้นเรียน ABAC อาจจะได้เปรียบเพราะ มีเพื่อนต่างชาติพูดได้ง่าย แต่สมัยนี้ถึงไม่ได้เรียน มหาลัยอินเตอร์ ต่างชาติก็มีเต็มไปหมดในประเทศแล้วครับ แต่ถึงเรียนมหาลัยอินเตอร์ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะพูดอังกฤษเก่ง นะครับ มันต้อง ปรับพฤติกรรมในการพูดของตัวเอง การเข้าหาคนอื่น

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=s5jx2btolHY" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=s5jx2btolHY</a>


4. เคยมีประสบการณ์ขำๆในการใช้ภาษาอังกฤษระหว่างทำหน้าที่นักข่าวบ้างมั้ยครับ

เยอะเลยครับ HAHAHA ตอนรายงานข่าวใหม่ๆ การใช้ภาษาอังกฤษ มีหลุดบ่อยมาก อย่างคำว่าสินค้าหลายอย่าง จะสะกดว่า goods ตอนอ่านใหม่ๆ อ่านเป็น ห่าน เลยครับ goose ออกเสียงที่ถูกมันต้อง ออกเสียง good สั้นๆ แล้วเติม s ที่หลัง คนฟังข่าวคง งงว่า ทำไม ข่าวมีแต่ขายห่าน ไม่ใช้สินค้า
 
5. สำหรับคนที่เริ่มต้นจาก 0 ไม่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษเลย คิดว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหนครับ ถึงจะเก่งภาษาอังกฤษได้

คนที่เริ่มจาก ศูนย์ ต้องมองอย่างนี้นะครับ เริ่มจากทัศนคติก่อน ว่า จะเก่งพูดภาษาอังกฤษ ต้องพึ่งตัวเองเสีย 95% ไม่มีที่ไหนในโลก สามารถสอนให้พูดแล้วเป็นภายใน 1 เดือน หรือ 3 เดือน ถ้า งูๆ ปลาๆ 3 เดือนพอได้ครับ แต่จะให้พูดแบบ คล่อง ถึงขนาดสามารถพูด ได้เรื่อยๆ  ก็อย่างน้อย 1 .2 ปี อยากพูดได้แบบฝรั่งก็ 5 ปีขึ้นเลยครับ โดยต้อง ‘พูด’ มากกว่า อ่านและเขียน ‘ทุกวัน’

ถ้าปรับทัศนคติได้ตามนี้นะครับ ที่เหลือไม่มีอะไรยากแล้วครับ เริ่มจาก อ่านก่อน อ่านจากสิ่งที่สนุก และง่ายต่อการเข้าใจ หนังสือนิทานเด็กๆ อ่านไปเลยครับ อ่านเสร็จ ลอกมันออกมา คัดมันออกมา ใส่สมุด ผมเองก็ทำแบบนี้ คัดเยอะมาก เหมือนลอกการบ้านเพื่อนครับ ง่ายๆ ลอกมันเข้าไป จากนั้น อ่านออกเสียง ตาม ทำไปเรื่อยๆครับ เดี๋ยวความรู้มันมาเอง แต่อย่าหยุดนะครับ พอเราได้คำศัพท์มากขึ้น ได้รูปประโยคมากขึ้น ความมั่นใจก็มา การเรียน หรือ ฝึกเองต่อยอด ก็จะง่ายมากขึ้น

6. หลายคนชอบบอกกับตัวเองว่า "ไม่มีเวลา" ฝึกจริงๆจังๆ และ "ไม่มีโอกาส" เจอฝรั่ง หรือ ไปเมืองนอก มีความเห็นยังไงบ้างครับ

หลายๆคนชอบรอ ให้โอกาสมาก่อน แล้วค่อยฝึก เช่น รอเจอฝรั่งก่อนนะ รอไปเรียนต่อก่อนนะ รอได้ที่ทำงานใหม่ก่อนนะ รอเพื่อน รอของฟรี รอพูดได้ก่อนนะแล้วจะกล้าคุยกับฝรั่ง หรือ มีข้ออ้างได้เยอะแยะมากมาย

ส่วนตัวผมมองว่าการผัดวันประกันพรุ่งที่จะหัดพูด ภาษาอังกฤษช้าไป 1 วัน เท่ากับ ความสามารถในการพูดอังกฤษได้ก็จะช้าไปอีก 1 ปีเต็มเลยนะครับ

คนเรียนเมืองนอก กลับมา พูดอังกฤษ ไม่เก่งมีเยอะแยะนะครับ คนอยู่เมืองไทยพูดอังกฤษเก่งกว่าเด็กนอกก็มีเยอะแยะ เพราะฉะนั้น จะอยู่ไทยหรืออยู่นอก ไม่ใช่ปัจจัยวัดความเก่งเลยครับ

ส่วนเรื่องเวลา ลองงดเล่นมือถือสักชั่วโมงสิครับ เดี๋ยวเวลาว่างมันจะโผล่ขึ้นมาเองครับ

7. มีเคล็ดลับอะไรในการสนุกกับการฝึก หรือ ทำให้ไม่เบื่อหรือท้อกับการฝึกภาษาอังกฤษทุกๆวันได้ครับ

อยากสนุก กับการเรียนต้องได้ใช้ครับ สมัยผมฝึกใหม่ๆ ต้องหาคนพูดด้วยครับ จะเป็นเพื่อน หรือ ครู ก็ได้ พอได้ใช้ แล้ว เห็นว่า คนฟังเราเข้าใจ เราก็เกิดแรงบันดาลใจที่จะฝึกต่อไป อีกหน่อยพอผู้ฝึกพูดคล่องขึ้น เดี๋ยวก็จะได้ชาวต่างชาติ มาเป็นเพื่อนเองหล่ะครับ เชื่อผม แต่ต้องอย่าหยุดพูด อย่าหยุดใช้เด็ดขาด

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=q3-EXeavRaI" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=q3-EXeavRaI</a>

คลิปคุณ BEN สัมภาษณ์นักข่าว WSJ ถึงเส้นทางเก่งภาษาอังกฤษ

8. พอมองย้อนกลับไป คิดว่าอะไรคือสิ่งสำคัญที่ทำให้เราเก่งภาษาอังกฤษจนได้เป็นนักข่าวภาษาอังกฤษในวันนี้ได้ครับ

แรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกสำหรับผมเลย ผมอยากเป็นนักข่าวเหมือน CNN เลยทำให้ต้อง เทรนตัวเอง วางแผนการฝึกพูด หาข้อมูลวิธีฝึกจาก อินเตอร์เนต ฟังเรื่องราวของคนที่ทำสำเร็จมาก่อน ซึ่งก็มีจริงๆ เป็นชาวโปแลนด์ เขาหักดิบพูดภาษาอังกฤษกันเองกับเพื่อน ทำกันอยู่สองคน จนผ่านมา 10 กว่าปี ตอนนี้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาแม่ที่สองไปแล้วครับ เวลาสองคนนี้ไป อเมริกาหรืออังกฤษ คนก็คิดว่าเขาเป็นเจ้าของภาษา อย่างที่สองคือ วินัย และทัศนคติ แบบสบายๆ ไปเรื่อยๆ แต่สม่ำเสมอครับ

9. สุดท้ายนี้ อยากให้แชร์เคล็ดลับเก่งภาษาอังกฤษ (ซักที!) ให้กับทุกคนทีครับ

ท่องไว้เลยครับ ฟัง พูด อ่าน เขียน ให้ได้บ่อยที่สุดในแต่ละวัน
หาเรื่อง พูด หาเรื่องเขียน หาเรื่องอ่าน หาเรื่องฟัง แค่นี้จริงๆเลยครับ


สุดท้ายนี้ ทุกคนสามารถติดตามคุณ BEN ได้ที่ช่องทางนี้เลยครับ:
https://www.facebook.com/toihoienglish/
https://www.youtube.com/channel/UC3OQA1T_Ea1TqsauLUNctBg

2


1. รบกวนแนะนำตัวคร่าวๆให้รู้จักกันทีครับ


ผมชื่อ นายอัศม์เดช แหล่งิ ชื่อเล่น "ฉี"
ผมเป็นเผ่าอาข่า(อีก้อ)เป็นเด็กกำพร้าแม่เสียตั้งแต่ตอนผมอายุ 6 ขวบตั้งแต่เล็กจนโตไม่เคยเข้าโรงเรียนภาคปกติ บ้านอยู่บนเขาเรียนกับครูอาสา(กศน)จนได้ใบประกาศนียบัตรเทียบเท่า ป.4 หลังจากนั้นไม่ได้เรียนต่อลงมาหางานทำอยู่ในเมือง(เชียงใหม่)ทำงานตามร้านอาหารล้างถ้วยล้างชาม เข้ามาทำงานใน กทม.เป็นผู้ช่วยช่างประปา และเคยออกทะเลอยู่เรือลากหอยลาย หลังผ่านไปหลายปีได้ใช้ใบ ป.4 ไปสมัครเรียน กศน. อีกครั้งตอนอายุ 17 ปีจนจบ ม.6 ภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่เกลียดที่สุด เรียนทีไรเครียด หลายๆ ครั้งเครียดจนคลื่นไส้อาเจียน...พื้นฐานภาษาเป็นไงทุกท่านน่าจะทราบดี...


2.อะไรคือแรงบันดาลใจให้ตัดสินใจเลี้ยงลูกแบบ 2 ภาษาครับ?


ผมใช้ประสบการณ์ของชีวิตตัวเองที่ผ่านมาเป็นบทเรียนมาสอนลูก ผมคิดว่าผมไม่ใช่คนโง่ แต่ผมเป็นคนที่ขาดโอกาส ผมจึงเอาสิ่งที่ผมขาดในวัยเด็กมาเติมเต็มให้กับลูกตามกำลังปัญญาที่ผมทำได้..ผมก็หาข้อมูลเกี่ยวกับการเลี้ยงลูก

ก่อนจะมีลูกผมได้อ่านหนังสือ "รอให้ถึงอนุบาลก็สายเสียแล้ว" และผมก็มีความเชื่อเดิมอยู่แล้วว่าอัฉริยะสร้างได้ ( ไม่ได้บอกว่าพูดอังกฤษได้คืออัฉริยะ ) ผมไม่เชื่อว่ามีอัฉริยะคนไหนเก่งได้โดยไม่ได้เรียนรู้ ศักยภาพของเด็กก็เหมือนแผ่น CD เปล่าอยู่ที่ว่าใครมีความสามารถหาข้อมูลอะไรใส่ลงไปมากน้อยแค่ไหน...ที่สำคัญคือให้ถูกช่วงเวลาถูกวิธี


3. จำเป็นมั้ยครับที่พ่อแม่ต้องเก่งภาษาอังกฤษก่อน ถึงจะเลี้ยงลูกแบบ 2 ภาษาได้ครับ?


ผมคิดว่าไม่จำเป็นครับ ถ้ารอให้เก่งคงไม่ได้สอน. เพราะแม้แต่เจ้าของภาษาเองก็รู้ภาษาตัวเองไม่หมด
ผมเชื่อว่าพ่อแม่ไม่เก่งยังไงก็เก่งกว่าลูกที่เกิดมารู้วิธีที่ค้นค้าหาข้อมูลได้มากกว่าลูกแน่นอนครับ

ส่วนตัวผมคิดว่าที่ผ่านมาภาษาอังกฤษเป็นสิ่งที่ผมไม่ชอบและใจเราปฏิเสธ และสาเหตุใหญ่ของการไม่ชอบเพราะผมไม่เข้าใจและไม่พยามทำความเข้าใจ ไม่เข้าใจ+ไม่ชอบ+ปฏิเสธ+ไม่รู้เรื่อง

ผมก็เลยลองใหม่...หนังสือเล่มแรกที่ผมซื้อมาอ่านคือ รู้ทันสันดาน tense ผู้เขียน เทียรธรรมดา
จริงๆ หนังสือเล่มไหนก็เหมือนกันหมดครับ ยิ่งทุกวันนี้แทบไม่ต้องซื้อหนังสืออยากรู้อะไร หาใน google ได้หมด
พอทนอ่านเริ่มเข้าใจ พอเข้าใจเริ่มชอบและค่อยๆ เพิ่ม

หลายๆ คนมักจะบอกว่าเรียนภาษาอังกฤษไม่ต้องสนใจ tense หรือ grammar
ผมคิดว่าคนที่เรียนในฐานะภาษาที่ 2 และโดยเฉพาะศึกษาด้วยตัวเองผมว่าจำเป็นมาก...การไม่เข้าใจโครงสร้างพื้นฐานทำให้เราพูดไม่ได้พูดไม่ถูก แต่ถ้าเรามีความถี่อยู่กับฝรั่งทุกวันฟังพูดทุกวันก็ไม่จำเป็น เรียนรู้จากสิ่งที่พูดสิ่งที่ได้ยิน

แต่ที่เราสอนลูกเราสอนเหมือนภาษาแรกคือ ชี้ที่สิ่งของแล้วพูด แสดงท่าทางให้เห็น ให้ลูกเลียนแบบ ขัดเกลาการเลียนแบบ และให้ความถี่บ่อยๆ จนเขาจำได้

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=Mi1IU_Su2IE" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=Mi1IU_Su2IE</a>

คลิปน้องจันทร์เจ้าลูกสาวพ่อฉี วัย 2 ขวบ พูดภาษาอังกฤษ


4. มีเทคนิคหรือมีอะไรแนะนำพ่อแม่ที่ยังไม่เก่งภาษาอังกฤษและอยากเริ่มเลี้ยงลูก 2 ภาษาบ้างครับ?


...พ่อแม่ไม่เก่งก็ทำให้เก่งได้ไม่ยาก... แค่เปลี่ยนจาก passive learning เป็น Active learning

การค้นคว้าหรือการหาเทคนิควิธีไม่ใช่เรื่องยากในยุคปัจจุบัน...มี smartphone อยู่ในมือทุกคน นั่นเท่ากับโลกทั้งใบอยู่ในมือแล้วอยากได้อะไร download ได้หมดและฟรีด้วยเพียงแต่เรารู้วิธีใช้หรือเลือกใช้สิ่งที่เป็นประโยชน์หรือไม่

ผมเริ่มจาก...
การสอนก็เริ่มจากศัพท์เป็นคำๆ แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นวลี เป็นประโยค. การสอนของผมก็ท่องไปสอนไป ( ทั้งเรียนและสอนในเวลาเดียวกัน ) เราก็เรียนไปพร้อมกับลูก download การ์ตูนภาษาอังกฤษให้ลูกดู (ห้ามเอาที่มีคำแปลเป็นไทย เช่น A = ant = มด) ทำการบ้านหาศัพท์หาข้อมูลก่อนมาคุยกับลูก ผนังบ้านหรือผนังในห้องน้ำเปลี่ยนเป็นกระดานดำ เขียนศัพท์ เขียนประโยคที่ต้องใช้พูดคุยในขณะอาบน้ำให้ลูก คิดไม่ออกก็เงยหน้ามองแล้วค่อยคุยกับลูกพอบ่อยเข้าเราก็เริ่มจำได้

การออกเสียงภาษาอังกฤษของผมก็เหมือนคนไทยหลายๆ คนที่ใช้ความเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ตาเห็นว่าสะกดอย่างไรก็อ่านอย่างนั้น

หลังจากนั้นผมมารู้ว่าที่เราเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นสิ่งที่คนไทยหลายๆ คนออกเสียง เสียงที่เราได้ยินและคุ้นเคยกว่า 90 % ออกเสียงไม่ถูกต้อง. และผมมารู้จัก phonetics symbols สัญลักณ์กำกับการออกเสียงที่อยู่ใต้ศัพท์ ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนและไม่เคยสังเกต dictionary ว่ามันมีด้วย. ผมจึงมาหัดอ่าน phonetics และใช้หูฟังไม่เชื่อตัวอักษรที่เขียน ทำให้การออกเสียงได้ดีขึ้น

สรุปคือ...การสอน "ห้ามแปล"

ชี้ที่สิ่งของแล้วพูด เช่น ชี้ที่หนังสือแล้วพูด book หรือ a book
หยิบของขึ้นก็พูดว่า pick it up หยิบของขึ้นมาพร้อมกับพูดและให้เขาได้ยินเสียงให้เห็นท่าทาง
วางของลงก็พูดว่า put it down

เริ่มจากศัพท์ เป็นวลี เป็นประโยค ค่อยๆ เพิ่ม

และสิ่งที่สำคัญคือพยายามออกเสียงให้เคลียร์...ถ้าไม่มั่นใจให้ฟัง talking dict หรือถ้าจะให้ดีก็หัดอ่าน phonetics พวกนี้ download ได้ฟรี


5. อะไรคือปัจจัยที่สำคัญที่สุดในการเลี้ยงลูกแบบ 2 ภาษาครับ?


ผมมองว่าพ่อแม่สำคัญมากครับเพราะว่าพ่อแม่สอนได้ตั้งแต่ลูกยังเล็กและในวัยเด็กคนที่มีความถี่ในการสอนคนที่อยู่ใกล้ชิดลูกก็คือพ่อแม่การสอนตั้งแต่เล็กทำให้เด็กคุ้นชินเหมือนเป็นภาษาแรกเขาจะพูดเป็นธรรมชาติโดยไม่รู้สึกเก้อเขิน..ก็คือการฝึกเดินก้าวแรกต้องพ่อแม่เริ่ม แล้วเขาจะไปฝึกวิ่ง จะกระโดดสูงหรือจะตีลังกามันก็จะเป็นเรื่องง่ายขึ้น

เราอาจมองข้ามตัวอย่างดีๆ ที่อยู่ใกล้เรา
เด็กต่างจังหวัดพูด 2 ภาษาเป็นธรรมชาติโดยไม่เก้อเขิน
1.ภาษาท้องถิ่น
2.ภาษาไทย

เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะมีความถี่ในการพูด 2 ภาษาตั้งแต่เด็ก จนไม่รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งแปลกปลอม


(คุณฉี คือคนที่ใส่เสื้อสีฟ้าครับ)



6. หลายครั้ง พ่อแม่ยังไม่เก่งภาษา มาเลี้ยงแบบหนึ่งคนหนึ่งภาษา (One Parent One Languae – OPOL) แล้วรู้สึกอึดอัดกับการพูดหรือแสดงความรักผ่านภาษาที่ไม่คุ้นเคย อยากพูดไทยกับลูก มีความเห็นอย่างไร และมีอะไรแนะนำบ้างครับ?


วิธีที่ผมปฏิบัติมาคือพูดเท่าที่ได้ครับแล้วค่อยๆ เพิ่ม ศึกษาค้นคว้าหรือสอบถามผู้รู้ อะไรที่เราพูดเป็นอังกฤษไม่ได้ก็พูดไทยได้ครับ..ทำให้สนุกอย่าไปเครียดหรือกดดันตัวเอง

แต่เวลาเราพูดอังกฤษแล้วลูกตอบเป็นไทยต้องไม่ปล่อยผ่านไปครับ...พยายามให้เขาตอบโต้เป็นภาษาอังกฤษ ถ้าปล่อยผ่านไปเรื่อยๆ เด็กจะไม่ยอมพูด..โหมดภาษาอังกฤษจะไม่เกิด ถ้าโหมดภาษาอังกฤษเกิดขึ้นเมื่อไหร่ปริมาณก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ครับ
 

7. คิดว่าอะไรเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้การเลี้ยงน้องจันทร์เจ้าแบบ 2 ภาษาได้สำเร็จครับ?


การลงมือทำครับ...

ผมคิดว่าอะไรที่เกิดจากความอยากความรักเราจะทำได้ดี

ผมมีความอยาก และลงมือปฏิบัติและทำอย่างต่อเนื่อง แค่ใช้เวลาที่อยู่กับลูกจากพูดภาษาไทยก็เปลี่ยนเป็นพูดอังกฤษเท่าที่จะพูดได้ หาหนังสืออ่าน หาวิธีเพื่อเพิ่มความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ...ซื้อหนังสือคุณ พงษ์ระพี เตชพหพงษ์(ผู้ใหญ่บิ๊ก) เจ้าของแนวคิดเด็ก 2 ภาษาพ่อแม่ธรรมก็สร้างได้มาอ่านหลักการและแนวคิดครับ


8. จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ได้พบเจอ คิดว่าอะไรคือปัญหาที่ทำให้พ่อแม่ส่วนใหญ่เลี้ยงลูก 2 ภาษาได้ไม่ดีเท่าที่ควรครับ?


ผมคิดว่าเพราะชอบดูถูกศักยภาพของตัวเอง...สิ่งที่พ่อแม่มักจะพูดคือ "ไม่เก่งภาษา" อาย กลัวสอนลูกผิด
มีคนถามผมว่าไม่กลัวว่าจะสอนลูกผิดเหรอ?...
ผมตอบไปอย่างมันใจเลยว่า "ผมสอนผิดแน่นอน" ผมรู้ดีว่ามันไม่สมบูรณ์แบบ แต่ผมไม่กลัวเชื่อว่ารายละเอียด ความถูกต้องความสมบูรณ์ ไปแก้ไขทีหลังได้ 

..แต่สิ่งที่ผมกลัวมากกว่าคือ ผมรอไม่ได้..
ผมต้องทำตั้งแต่เกิดตั้งแต่เล็กเพื่อให้เขาเกิดความเคยชินกับการพูดภาษาอังกฤษเป็นเรื่องปกติ. แต่ถ้าผมรอให้เขาโตแล้วให้ข้อมูลนั่นจะกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมที่เขารับได้ยาก เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมกลัวมากกว่าที่กลัวว่าจะสอนผิด....การพูดภาษาที่ 2 มันต้องเริ่มจากผิดแน่ๆ มันเป็นเรื่องปกติ.  ภาษาตัวเองหลายๆครั้งยังพูดผิดเลย

กล้าพูดแบบผิดๆ ถูกๆ มันก็ยังดีกว่าพูดไม่ได้เลย...แค่สร้างความกล้าพูดให้เกิดขึ้นได้ ผมมองว่านั่นคือสำเร็จแล้ว

<a href="http://www.youtube.com/watch?v=7Z1g-axxEfo" target="_blank">http://www.youtube.com/watch?v=7Z1g-axxEfo</a>

คลิปน้องจันทร์เจ้า ช่วงอายุ 2.7 ปี พูดภาษาอังกฤษ


9. หลายคนมองว่าการเลี้ยงลูก 2 ภาษา ต้องใช้เงินเยอะ คิดว่าอย่างไรอบ้างครับ และการหาซื้อสื่อสอนลูก จำเป็นมั้ยครับ ที่ต้องหาซื้อสื่อต่างประเทศ ที่อาจจะมีราคาสูงพอสมควร?


ใช้เงินเยอะก็ใช่ว่าจะได้ผลครับ...ก็มีตัวอย่างให้เห็นมากมาย เช่น โรงเรียน 2 ภาษาค่าเทอมขั้นต่ำก็สามหมื่นกว่าบาทผมไม่เห็นว่าเด็กจะพูดได้เลย ส่วนใหญ่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะอยู่ที่บ้านไม่เคยมีใครพูดอังกฤษความถี่มันไม่พอ ที่บ้านไม่เคยฝึกเดินก้าวแรก มาฝึกมาเริ่มที่โรงเรียนเป็นไม่แก่ที่ดัดยากขึ้น ไม่เหมือนคนที่ฝึกเดินก้าวแรกมาจากบ้านพอเข้าโรงเรียนหรือไปเรียนพิเศษก็ต่อยอดได้เลย...เพราะฉนั้นการสอนที่มีประสิทธิภาพและประหยัดคือการสอนโดยไม่สอนใช้เวลาอยู่ที่บ้านพูดคุยโดยพ่อแม่ครับ

ส่วนสื่อผมว่าทุกวันนี้สื่อดีๆ และฟรีหาได้ง่ายส่วนใหญ่ผม download เอาครับไม่เคยซื้อสื่อแพงๆ
ผมมองว่าไม่ได้อยู่ที่สื่อแพงครับ...แต่อยู่ที่ทำอย่างไรให้เด็กรู้ข้อมูลจำข้อมูลได้ การทำให้เด็กจำสิ่งต่างๆ ได้ผมว่าไม่ได้อยู่ที่ราคาครับ...แต่มันอยู่ที่วิธีการ
   

10. หากจะให้สรุปว่า อะไรคือปัจจัยที่สำเร็จในการเลี้ยงลูก 2 ภาษา คิดว่ามีอะไรบ้างครับ?


...ปัจจัยที่จะสำเร็จได้คือลงมือทำครับ...

ความฝันที่ยังไม่ได้ลงมือทำ มันก็ไม่ต่างอะไรกับคนที่ไมีความฝันอะไรเลย...เหตุผลที่ไม่สำเร็จคือไม่ทำหรือทำไม่ต่อเนื่องไม่จริงจัง  จริงๆ แล้วหลายๆ เรื่องไม่ใช่เป็นสิ่งที่เราทำไม่ได้...แต่เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ทำมากกว่า
เพราะฉนั้นต้องรีบลงมือทำยิ่งทำเร็วยิ่งง่าย เลิกดูถูกตัวเอง เลิกรอความสมบูรณ์แบบ เลิกอาย เลิกแคร์สายตาคนอื่นที่มอง และเปลี่ยนวิธีคิดแบบเดิม เช่น ว่าเด็กยังเล็กเกินไปอย่าสอนเยอะเด็กจะรับไม่ได้เด็กรับได้ไม่อั้นให้กลัวว่าให้ไม่พอ  วิธีคิดแบบเดิมปล่อยให้เด็กโตแบบอิสระแล้วป้อนข้อมูลตอนโตนั่นแหละคือยัดเยียดบังคับลูก ให้นึกถึงว่านี่คือลูกเราอยากให้ลูกเป็นอย่างไรเราต้องสร้างเองครับ

สรุปคือว่า...ลงมือทำและทำให้ถูกวิธี
1.ห้ามสอนแบบแปล เอ แอ้น มด
2.ชี้ให้เห็นภาพหรือแสดงท่าทางให้เห็นในสิ่งที่เราพูดถึง ให้เด็กเลียนแบบและจำได้...ห้ามพูดลอยๆ นอกจากในสิ่งที่เด็กรู้แล้วมีประสบการณ์แล้ว
3.เวลาพูดอังกฤษกับลูกพยายามให้ตอบโต้เป็นภาษาอังกฤษ..อย่าปล่อยผ่านไปเรื่อยๆ ไม่งั้นจะไม่ยอมพูดสักที

ห้ามเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น...แล้วทำให้เรากดดัน
สมองคนเราเรียนรู้ได้เท่ากัน...แต่ในเวลาที่ไม่เท่ากัน...การเรียนรู้ช้าหรือเร็วจึงต่างกัน ถ้ายังไม่ได้ก็ซ้ำ ทบทวน...เริ่มให้เขากล้าพูดได้ก็สำเร็จแล้ว ปริมาณเดี๋ยวก็มาเองครับ

สามารถติดตามพ่อฉี และน้องจันทร์เจ้าได้ที่ : https://www.facebook.com/Janjaoandporchee

3
นี่คือ “เครือข่าย อังกฤษเก่งได้ด้วยตัวเอง” บนเฟสบุ๊คของพวกเรานะครับ ใครยังไม่ได้ join รีบมา join กันเลยคร้าบ  :-*


1. กลุ่มสนทนาภาษาอังกฤษแห่งประเทศไทย (English Only)
>> กรุ๊ปสำหรับคนที่ต้องการฝึกใช้ ฝึกแต่งประโยคภาษาอังกฤษทุกวัน ผ่านการคุยภาษาอังกฤษล้วน
https://www.facebook.com/groups/talkeng

2. กลุ่มสนทนาภาษาอังกฤษแฮปปี้เวอร์ (Beginners Only)
>> กรุ๊ปสำหรับคนที่อาย และยังไม่มั่นใจเวลาใช้ภาษาอังกฤษ ที่นี่เป็นกลุ่มคุยฝึกภาษาอังกฤษกันแบบสบายๆ ไร้ความกดดัน
https://www.facebook.com/groups/happyver

3. ครอบครัวแกรมมาร์ภาษาอังกฤษ
>> สำหรับปูพื้นฐานไวยากรณ์ภาษาอังกฤษเบื้องต้น ด้วยการช่วยกันแชร์และสอนกัน
https://www.facebook.com/groups/grammarthailand

4. กลุ่มร่วมด้วยช่วยติว TOEIC
>> สำหรับคนที่กำลังเตรียมสอบ TOEIC คะแนน TOEIC ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ มาช่วยกันติวได้ที่นี่
https://www.facebook.com/groups/toeicthailand

5. กลุ่มร่วมด้วยช่วยติว IELTS
>> สำหรับคนที่กำลังเตรียมสอบ IELTS คะแนน IELTS ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ มาช่วยกันติวได้ที่นี่
https://www.facebook.com/groups/ieltsthailand

6. กลุ่มร่วมด้วยช่วยติว TOEFL
>> สำหรับคนที่กำลังเตรียมสอบ TOEFL คะแนน TOEFL ยังไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ มาช่วยกันติวได้ที่นี่
https://www.facebook.com/groups/toeflthailand

7. หนูน้อยสองภาษา พ่อแม่ธรรมดาก็สร้างได้ (Bilingkids)
>> สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูก และอยากให้ลูกเก่งภาษา เป็นเด็กสองภาษา มาช่วยกันแชร์ประสบการณ์ได้ที่นี่
https://www.facebook.com/groups/bilingkids

8. Cabin Crew Wannabes (ร่วมดูแลกับ Cabin Crew Club)
>> สำหรับผู้ต้องการแชร์ข้อมูล ประสบการณ์ พัฒนาทักษะเพื่อสมัครอาชีพลูกเรือ (Cabin Crew)
https://www.facebook.com/groups/cabincrewwannabes/

4

1. แนะนำตัวคร่าวๆให้รู้จักกันหน่อยครับ

สวัสดีค่ะ ชื่อเบญจวรรณ ถิระวานิช หรือส้มนะคะ
เคยทำงานเป็นแอร์โฮสเตสสายการบินตะวันออกกลาง Etihad Airways ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ค่ะ
ปัจจุบัน เป็นบล็อกเกอร์เพจ Som FlyGirl , คุณครูพิเศษสอนภาษาอังกฤษ และเป็นเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์ความงามค่ะ

2. อาชีพแอร์โฮสเตสจำเป็นต้องเก่งภาษาอังกฤษมั้ยครับ
จำเป็นค่ะ ...อย่างแรกเลย กระบวนการในการสัมภาษณ์งานทั้งหมด ส่วนใหญ่นั้นเป็นภาษาอังกฤษ
ซึ่งเราจะต้องแสดงทัศนคติ การเล่าประสบการณ์ การทำงานกลุ่ม และรายละเอียดทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเราเองเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด
และเมื่อได้รับเลือก เราก็จะต้องได้รับการเทรนในเรื่องความปลอดภัย การบริการ โภชนาการและการปฐมพยาบาลทั้งหมดเป็นภาษาอังกฤษอีกด้วยค่ะ
ซึ่งทุกอย่างจะใช้การท่องจำอย่างเดียวไม่ได้ เค้าจะให้เราปฏิบัติและนำเสนอให้เป็นในทุกขั้นตอนก่อนจะขึ้นเครื่องไปทำงานจริงค่ะ

3. อยากให้คุณส้มช่วยแชร์ประสบการณ์ใช้ภาษาอังกฤษครั้งแรกหน่อยครับ ว่าเหมือนกับที่เรียนมามั้ย ต้องปรับตัวหรือกดดันอะไรบ้าง
จริงๆแล้ว ภาษาอังกฤษในบทเรียนกับการสื่อสารจริงมันค่อนข้างต่างนะคะ อย่างสมัยก่อนที่ส้มเรียนที่คณะอักษรศาสตร์
ส้มจะเน้นเรื่องการอ่านกับไวยากรณ์เป็นหลัก คิดอะไรที่เกี่ยวกับภาษาจะใช้เวลาตรึกตรองนาน
แต่พอมาทำงานกับต่างชาติ รู้เลยว่า เราจะมาไตร่ตรองไวยากรณ์สละสลวยไม่ได้แล้ว
กลายเป็นเน้นการจดจำและความเคยชินในการพูดเป็นหลัก รวมไปถึงการเรียนรู้ศัพท์ใหม่ๆในชีวิตประจำวันด้วยประสบการณ์
ซึ่งถ้าถามว่ากดดันไหม ก็ต้องบอกเลยว่ากดดันนะคะในช่วงแรก เพราะด้วยสภาพแวดล้อมต่างๆ...
เราต้องโต้ตอบไว คิดไว และทุกอย่างต้องเป็นภาษาอังกฤษ

4. คิดว่าถ้าอยากสื่อสารกับฝรั่งได้ ต้องพัฒนาทักษะอะไรเป็นอย่างแรก

ทักษะการฟังกับการพูดค่ะ ต้องมาพร้อมกันเลย หลายๆคนส้มเชื่อว่าฟังออกนะ แต่โต้ตอบไม่ได้ หรือไม่รู้จะพูดอะไร
ฝรั่งเค้าก็จะคิดว่าเราไม่เข้าใจเค้าอยู่ดี ฉะนั้น ทักษะทั้งการฟังและการพูดประกอบกัน ถึงจะเกิดการสื่อสารกับฝรั่งได้

5. ผิดบ่อยมั้ย และทำยังไงเวลาพูดผิด [/color]
ตอนแรกๆนี่ผิดบ่อยอยู่แล้วค่ะ ยิ่งเราพูดเร็ว โอกาสผิดก็ยิ่งสูง แต่ทุกครั้งที่ผิด จะคอยบอกตัวเองว่า
"เราจะไม่ให้ใครเข้าใจว่าภาษาอังกฤษเราเป็น Broken English เด็ดขาด"
เราต้องไม่ผิดซ้ำ บางครั้งก็จะจดไว้เลย

6. คิดว่าปัญหาหลักของคนไทยส่วนใหญ่กับภาษาอังกฤษคืออะไร

จากประสบการณ์ของส้มนะคะ ปัญหาหลักเลยของคนไทยก็คือความกล้าที่จะพูด
หลายครั้ง ส้มเห็นหลายคนจริงๆพูดได้นะ แล้วก็รู้ด้วยว่าตนเองพูดได้
จะสังเกตได้ว่า เมื่อเห็นคนอื่นตอบคำถามหรือพูดประเด็นอะไรออกมาเป็นภาษาอังกฤษ
ในใจของหลายๆคนก็จะคิดตามและมีคำตอบของตนเองอยู่ในใจนะ แต่อายที่จะพูดสิ่งสิ่งนั้นออกมาเป็นภาษาอังกฤษ
เพราะกลัวผิด ไม่ว่าจะเป็นความกลัวผิดไวยากรณ์ กลัวเริ่มพูดไปแล้วจบไม่ได้ หรือแม้แต่กลัวคนฟังไม่เข้าใจ
ซึ่งสิ่งๆนี้ล้วนเป็นอุปสรรคในการสื่อสาร หรือแม้แต่การประเมินศักยภาพทางด้านการพูดภาษาอังกฤษของตนเอง
...เพียงเพราะความกลัวเพียงอย่างเดียว

7. อยากฝากอะไรถึงคนที่กำลังฝึกภาษาอังกฤษ หรือ กำลังท้ออยุ่กับภาษาของตัวเองบ้าง
อยากฝากให้ทุกๆคนกล้าที่จะฝึกฝน ที่จะพูดออกมานะคะ
บางครั้งความกลัวก็เป็นสิ่งที่ปิดกั้นโอกาสเราที่จะได้แสดงความสามารถและพัฒนาตัวเองได้มากเลยทีเดียว
ถ้าไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน อยากให้เราลองอ่านมากๆ สะสมคลังศัพท์ไปเรื่อยๆ แล้วจึงหัดแต่งประโยคด้วยตัวเอง
อย่าเพิ่งท้อและคิดว่าทำไม่ได้หากยังไม่ได้พยายาม

8. อาชีพแอร์โฮสเตสได้พบเจอผู้คนหลายชาติทั้งทำงาน และเที่ยว ช่วงแรก มีปัญหากับการฟัง หรือ การสื่อสารกับคนสำเนียงต่างๆบ้างมั้ย

ช่วงแรกนี่ส้มต้องยอมรับเลยว่า มีปัญหากับสำเนียงภาษาอังกฤษของคนอินเดีย กับคนสก็อตแลนด์หรืออังกฤษจาก Liverpool มาก
เพราะฟังไม่รู้เรื่อง เคสแรกนี่เพราะสำเนียงเค้าแรงมาก ส่วนเคสที่สองนี่คือฟังไม่ทัน
แต่ด้วยอาชีพ ยิ่งฟังไม่รู้เรื่อง ก็ยิ่งต้องฟัง บังคับตัวเองให้เข้าไปคุยเลยเยอะๆ เพราะเราหนีหน้าที่ไม่ได้
และบ่อยครั้งต้องร่วมงานกัน จนในที่สุดก็ชินและไม่เป็นปัญหาอีกต่อไปค่ะ

9. รบกวนคุณส้มช่วยแชร์เคล็ดลับ หรือเทคนิคฝึกภาษาอังกฤษที่คุณส้มคิดว่าฝึกแล้วได้ผลที่สุดให้กับทุกคนด้วยครับ

เทคนิคที่ส้มใช้ฝึกกับตัวเองก็คือ คิด จด พูด เรียงกันเป็น 3 สเต็ปค่ะ ...อธิบายอย่างละเอียดเลยก็คือ
1. ส้มจะคิดถึงสิ่งที่เราต้องการจะพูดหรือคิดว่าจะใช้ในการตอบสัมภาษณ์มาทั้งหมดให้เป็นภาษาอังกฤษ และจดลงไปในกระดาษ
2. ในสมัยก่อนยังไม่มี Smartphone ส้มก็จะเปิด Dictionary ทันทีที่ติดคำไหน อย่าหยุด และอย่ารอจนเราหมดความสนใจไปแล้ว ทันทีที่นึกคำนั้นไม่ออกเป็นภาษาอังกฤษ เราต้องรีบรู้ และจดคำนั้นเอาไว้ทดสอบตัวเองในวันหน้า ที่สำคัญ การจดศัพท์คำใดก็ตาม อย่าลืมวงเล็บ Part of Speech ลงไปด้วย เพราะนั่นจะทำให้เรานำคำคำนั้นไปแต่งประโยคต่อไปในอนาคตได้ง่ายและถูกต้องยิ่งขึ้น
3. นำทุกสิ่งที่เราจดและเตรียมเอาไว้นั้นมาฝึกพูดจนเราคล่อง เมื่อคิดอะไรที่อยากพูดเพิ่มเติมก็ให้วนสเต็ปนี้ซ้ำอีก บังคับตัวเองว่าเราต้องพูดออกมาเป็นภาษาอังกฤษ จนวันนึง เราจะชินกับการพูดภาษาอังกฤษและจดจำคำศัพท์ที่เราพูดบ่อยๆได้จนขึ้นใจค่ะ
...และเมื่อเราทำทั้ง 3 เทคนิคที่ว่านี้จนพูดได้แล้ว อยากจะพัฒนาอีกขั้นให้พูดให้เหมือนฝรั่ง
เราก็สามารถข้ามขั้นไปเรียนรู้เรื่องการลงเสียงหนักเบา (Stress & Intonation) และการออกเสียงคำศัพท์ที่ถูกต้องเพิ่มเติม
เท่านี้เราก็จะพูดได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษามากขึ้นค่ะ :D


ทีมงานเด็กอิงก์ ขอขอบคุณคุณส้มสำหรับบทสัมภาษณ์แชร์เทคนิคเก่งภาษาอังกฤษดีๆครั้งนี้
และทุกท่านสามารถติดตามคุณส้มผ่านช่องทางต่างๆนี้ได้เลยครับ:
Som FlyGirl / Beauty Realm


หน้า:
  • 1 (current)